วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภูฝอยลม แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศชั้นดี


ภูฝอยลม แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศชั้นดีแห่งภาคอีสาน
ภูฝอยลม ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าพันดอน-ปะโค ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี มีสภาพเป็นพื้นที่โล่งบริเวณยอดเขาของเทือกเขาภูพานน้อย มีความสูงจากกระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 600 เมตร
ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ว่า เดิมภูฝอยลมเป็นป่าต้นน้ำที่สำคัญมีสภาพอุดมสมบูรณ์ มีความอากาศหนาวเย็น และมีความชุ่มชื้นสูงมาก จนเกิดสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า“ฝอยลม” ขึ้น และเป็นที่มาของชื่อภูแห่งนี้

ตำนานฝอยลมที่หลงเหลือเพียงภาพจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ล้านปีภูฝอยลม
ฝอยลมเป็น “ไลเคน”ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่ม เป็นไลเคนประเภทพุ่มกอ มีลักษณะเป็นเส้นฝอยสีเขียวปนเทา เกาะอาศัยอยู่ตามลำต้น ตามกิ่งของต้นไม้ขนาดใหญ่ และสามารถกระจายไปได้ทั่วบริเวณ
ฝอยลมเป็นไลเคนที่พบหาได้ยาก เพราะมันจะเจริญเติบโตเฉพาะในผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่มีความชุ่มชื้นสูงและมีสภาพอากาศที่เหมาะสม ซึ่งป่าภูฝอยลมในอดีตนั้นมีลักษณะเช่นนี้
อย่างไรก็ดีป่าภูฝอยลมอัน(เคย)อุดมสมบูรณ์นั้น ดูจะมีสภาพไม่ต่างจากป่าหลายๆแห่งในเมืองไทย เพราะป่าผืนนี้ได้ถูกผู้คนบุกรุกทำลายจนสภาพป่าอันอุดมสมบูรณ์กลับกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม ส่วนฝอยลมที่เคยมีอยู่เป็นจำนวนมากก็ค่อยๆลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ก่อนจะสูญหายไปกลายเป็นตำนานของฝอยลมแห่งภูฝอยลมให้คนรุ่นหลังถามว่า “ฝอยลม มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร”

วัฒนธรรมชาวเรณู


gallery      
     อ.เรณูนคร จ.นครพนม
เรณูนคร เรณูนครเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวภูไท ซึ่งยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นไว้เป็นอย่างดี อาทิ ธรรมเนียมการต้อนรับด้วยการบายศรีสู่ขวัญ การเลี้ยงอาหารแบบพาแลง การชวนดูดอุ (ชวนกันไปดื่มเหล้าหมักที่อยู่ในไห) การฟ้อนรำผู้ไทย นอกจากนี้ยังมีร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึกต่าง ๆ ไว้บริการนักท่องเที่ยวและประชาชนจากจังหวัดใกล้เคียงอีกมากมาย โดยเฉพาะบริเวณวัดพระธาตุเรณู และตลาดอำเภอเรณูนคร
   
      การฟ้อนภูไทนับเป็นการแสดงศิลปะและวัฒนธรรมแบบพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวภูไทที่ได้รับการถ่ายทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน จากบรรพบุรุษของชาวเผ่าภูไท ในสมัยก่อนเรียกการฟ้อนรำแบบนี้ว่า “ฟ้อนละครไทย” เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความสามัคคีในหมู่คณะเดียวกัน โดยการจับกลุ่มเล่นฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนานในงานเทศกาลเดือนห้าและเดือนหก ซึ่งจะมีประเพณีบุญบั้งไฟและมีการเฉลิมฉลองเพื่อนมัสการองค์พระธาตุเรณู ในการฟ้อนรำสมัยก่อนนั้น เป็นการฟ้อนรำตามความถนัดและความสามารถ ความชำนาญของแต่ละบุคคล ไม่ได้เน้นความเป็นระเบียบหรือความพร้อมเพรียงกัน แต่เน้นลีลาท่าฟ้อนรำต่าง ๆ  ที่แสดงออกมา ส่วนมากเป็นผู้ชายล้วน ๆ จับกลุ่มฟ้อนรำกันเพื่ออวดสาว ๆ ปัจจุบันเป็นการฟ้อนรำของหญิงชายคู่กัน โดยยึดการรำแบบดั้งเดิมเป็นหลัก นับเป็นศิลปะที่สวยงามละเอียดอ่อนหาดูได้ยากยิ่งในปัจจุบัน   
             
      การเดินทาง อยู่ห่างจากพระธาตุพนม ๑๕ กิโลเมตรห่างจากตัวจังหวัดนครพนมไปทางใต้ ๕๑ กิโลเมตร ตามเส้นทางหลวงหมายเลข ๒๑๒ ถึงประมาณกิโลเมตรที่ ๔๔ เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข ๒๐๓๑ อีกประมาณ ๗ กิโลเมตร ทางลาดยางตลอด

ศาลเจ้าแม่ที่ชาวมุกนับถือ


gallery ตั้งอยู่ ศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง  
ตั้งอยู่บนถนนสำราญชายโขง ริมแม่น้ำโขง ติดกับท่าด่านตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดมุกดาหาร ศาลแห่งนี้เดิมเป็นศาลไม้ไม่ทราบประวัติความเป็นมา ต่อมาได้มีการบูรณะเป็นศาลคอนกรีต ชาวจังหวัดมุกดาหารถือว่าศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กับศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี ชาวจังหวัดมุกดาหารจะจัดให้มีพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมืองและเจ้าแม่สองนางพี่น้องพร้อมกันนถนนสำราญชายโขง ริมแม่น้ำโขง ติดกับท่าด่านตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดมุกดาหาร ศาลแห่งนี้เดิมเป็นศาลไม้ไม่ทราบประวัติความเป็นมา ต่อมาได้มีการบูรณะเป็นศาลคอนกรีต ชาวจังหวัดมุกดาหารถือว่าศาลเจ้าแม่สองนางพี่น้อง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กับศาลเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมือง ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี ชาวจังหวัดมุกดาหารจะจัดให้มีพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อเจ้าฟ้ามุงเมืองและเจ้าแม่สองนางพี่น้องพร้อมกัน  

พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์


พิพิธภัณฑ์สิรินธร กาฬสินธุ์




ตั้งอยู่ที่เชิงภูกุ้มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ สามารถเดินทางโดยใช้เส้นทางกาฬสินธุ์-สหัสขันธ์ (ทางหลวง 227) ประมาณ 28 กิโลเมตร (ก่อนถึงสหัสขันธ์ 2 กิโลเมตร) มีทางแยกขวาไปอีก 1 กิโลเมตร บริเวณภูกุ้มข้าว ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ของวัดสักกะวัน เป็นสถานที่ค้นพบกระดูกไดโนเสาร์จำนวนมาก รวมทั้งโครงกระดูกไดโนเสาร์ทั้งตัวที่สมบูรณ์ที่ฝังอยู่ในพื้นดินและได้รับการขุดแต่งโดยเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรธรณี
พิพิธภัณฑ์สิรินธร หรือพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว เป็นพิพิธภัณฑ์และศูนย์วิจัยเกี่ยวกับไดโนเสาร์ ที่สมบูรณ์แบบและใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า “พิพิธภัณฑ์สิริธร” การจัดแสดงภายในอาคารแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การกำเนิดโลก ส่วนที่ 2 การกำเนิดของสิ่งมีชีวิตซึ่งรวมถึงไดโนเสาร์ จนถึงการกำเนิดมนุษย์ ส่วนที่ 3 เป็นนิทรรศการหมุนเวียน ปัจจุบันกำลังจัดแสดงนิทรรศการ “ซากดึกดำบรรพ์ปลาภูน้ำจั้น” ซึ่งเป็นซากปลาน้ำจืดโบราณพันธุ์ใหม่ของโลกซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มีชื่อว่า “เลปิโดเทส” มีความยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตรอยู่ในยุคมีโซโซอิก หรือ 65 ล้านปีที่แล้ว ช่วงเดียวกับไดโนเสาร์

ผาแต้ม




สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวภาคอีสาน

ผาแต้ม
ที่สถานที่ท่องเที่ยวผาแต้มมีเจ้าหน้าที่อุทยานคอยต้อนรับและพาลัดเลาะดูภาพเขียนสีโบราณที่เรียงรายตามหน้าผา สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งแบ่งเป็น ๔ กลุ่มคือ กลุ่มแรกอยู่ที่ผาขาม กลุ่มที่สองอยู่ที่ผาแต้ม กลุ่มที่สามอยู่ที่ผาหมอนน้อย และกลุ่มที่สี่ผาหมอน ล้วนบอกเล่าเรื่องราวการดำเนินชีวิต และอารยธรรมของชุมชนลุ่มน้ำโขงในยุคก่อนย้อนไปกว่า ๓,๐๐๐ ปี ภาพที่ชัดเจนที่สุดและดีที่สุดคือภาพกลุ่มที่สอง มีภาพช้าง เต่า ปลาบึก ปลากระเบนน้ำจืด ตุ้ม ฝ่ามือ ไม่น่าเชื่อว่ารอยทางแห่งอดีตนั้นยังคงชัดเจนอยู่จนถึงปัจจุบันสมแล้วที่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมหัศจรรย์หนึ่งในอันซีนไทยแลนด์



หินโบก



อุบลราชธานี

อุบลราชธานี
 
เที่ยวแบบหิน หิน ในถิ่นอีสาน อุบลราชธานี 

          ช่ว่าช่วงหน้าร้อนจะไม่มีอะไรสวย ๆ ให้ดูกัน เพราะทุกสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ วันนี้เราเลยขอพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ภาคอีสาน กันบ้าง โดยประเดิมที่ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่มากที่สุดในประเทศไทย ก่อนที่จะถูกแบ่งเนื้อที่ออกเป็นจังหวัดยโสธรและจังหวัดอำนาจเจริญ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 629 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง 

          สถานที่ท่องเที่ยวที่จังหวัดนี้มีให้เลือกเที่ยวกันหลายแบบ จะไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชมโบราณสถาน เที่ยวชมความงามตามธรรมชาติ ดูวิถีชีวิตของชาวบ้าน งานหัตถกรรม หรือจะเที่ยวกันตามประเพณี จังหวัดนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน และเพื่อให้เข้ากับอุณหภูมิอากาศร้อน ๆ อันแสนยาวนานของบ้านเรา ณ ขณะนี้ เราเลยพาคุณไปตะลุยองศาความร้อนกันมากยิ่งขึ้นกับการท่องเที่ยวทางธรรมชาติของทริป "เที่ยวแบบหิน หิน ในถิ่นอีสาน" ชมประติมากรรมทางธรรมชาติของก้อนหินและสายน้ำที่สร้างสรรค์ไว้ให้เราได้ชมกันอย่างงดงามแสนประทับใจ

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภูกระดึง




                                      


                        สุดยอดขุนเขาแห่งการท่องเที่ยว...ภูกระดึง 
         
 เมื่อเอ่ยถึงภูเขา สิ่งที่ไปกันได้ดีก็คือเรื่องของการท่องเที่ยว เพราะบนภูเขามีสิ่งดึงดูดความสนใจให้ขึ้นไปเที่ยวชมมากมาย อย่างพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ป่าใหญ่ๆ ดอกไม้ป่างามๆ น้ำตกบึ้มๆ หน้าผาและจุดชมวิวสวยๆ ไม่เพียงเท่านั้นอุณหภูมิบนภูเขาทั้งกลางวันกลางคืนก็หนาวเย็น สร้างบรรยากาศโรแมนติก ชวนให้เบียดกายใกล้ชิดสนิดแนบ เหมาะแก่การพาคู่รักหรือเพื่อนร่วมใจไปสนุกสนานเปลี่ยนบรรยากาศ ภูเขาจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตติดอันดับของผู้คนทั่วโลก

          แนวทิวเขาของอีสานประกอบไปด้วยแนวทิวขาเพชรบูรณ์และแนวทิวเขาดงพญาเย็น ที่เป็นเสมือนสันกั้นพรมแดนระหว่างภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน จากที่ราบลุ่มภาคกลางจะขึ้นสู่ที่ราบสูงอีสานก็ต้องทะลุแนวภูเขานี้ขึ้นไปทั้งสิ้น ต่ำลงมาประชิดกับภาคตะวันออกชายฝั่งทะเล คือเทือกเขาสันกำแพง ที่ด้านหนึ่งเป็นจังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว กับอีกด้านหนึ่งก็คือพื้นที่อำเภอโนนสูง เสิงสาง และครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ทิวเขานี้ยังเชื่อมโยงต่อไปถึงพนมดงรัก ซึ่งเป็นแนวกั้นอีสานกับดินแดนกัมพูชาและ สปป. ลาว และทั้งหมดนี้ก็คือ แนวภูเขาที่กั้นอีสานออกเป็นเอกเทศ แทบจะเป็นที่ราบกลมๆ บนที่สูง จากอีสานจะลงมาภาคกลางหรือไปภาคเหนือ อย่างไรเสียก็ต้องเจอภูเขา จะไปตามทางราบๆ ตลอดไม่ได้

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

พระธาตุบังพวน



                                                                           
พระธาตุบังพวนพระธาตุบังพวนเป็นเจดีย์เก่าแก่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่เคารพสักการะของชาวหนองคายมาช้านาน ตัวองค์พระธาตุเดิมสร้างด้วยอิฐเผา ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบท้องถิ่น เป็นสถูปแบบอินเดียรุ่นเดียวกับองค์พระปฐมเจดีย์ ต่อมาได้พังทลายลงเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2513 เนื่องจากฐานทรุด เจดีย์องค์ปัจจุบันได้รับการบูรณะขึ้นใหม่โดยกรมศิลปากร เป็นรูปปรางค์สี่เหลี่ยมต่อกันเป็นบัวปากระฆัง มีฐานทักษิณ 5 ชั้น กว้าง 17.20 เมตร ชั้นที่ 6 เป็นรูประฆังคว่ำ ชั้นที่ 7 เป็นรูปดาวปลี เหนือขึ้นไปเป็นที่ตั้งฉัตร สูงจากพื้นดิน 34.25 เมตร ชาวหนองคายจัดงานนมัสการพระธาตุในวันขึ้น 11 ค่ำเดือนยี่ของทุกปี ภายในบริเวณวัดมีโบราณสถานอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ได้แก่ สัตตมหาสถาน หรือ สถานที่สำคัญ 7 แห่งในพุทธประวัติหลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้วและได้เสด็จ
ประทับเสวยวิมุติสุขแห่งละ 7 วัน และสระปัพพฬนาค หรือสระพญานาค ซึ่งในสมัยโบราณเมื่อมีการแต่งตั้งเจ้าเมือง ก็จะนำน้ำจากสระนี้ไปสรงเพื่อเป็นสิริมงคล 










น้ำตกยูงทอง

วนอุทยานนายูงน้ำโสม-น้ำตกยูงทอง

น้ำตกยูงทอง


          ตั้งอยู่บ้านสว่าง หมู่ที่ 2 ตำบลนายูงอำเภอน้ำโสม เป็นน้ำตกตั้งอยู่บนสันเขาภูพานและภูย่าอู   มีลำน้ำไหล        ผ่านโขดหินสลับซับซ้อนสวยงามมาก ท่ามกลางความเขียวขจีของแมกไม้นานาพันธุ์น้ำตกยูงทองเป็นน้ำตก-ขนาดเล็กมี 3 ชั้น     อยู่ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 103  กิโลเมตร
การเดินทางจากตัวจังหวัดอุดรธานี   ผ่านเข้าอำเภอบ้านผือและอำเภอน้ำโสม    เมื่อถึงอำเภอน้ำโสม จะมีทางแยกจากหมู่บ้านน้ำซึมต่อไป อีกประมาณ 17 กิโลเมตร  ก็จะถึงทางแยกวนอุทยาน ซึ่งเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางของ รพช .ตลอดสายและมีสภาพดี  

น้ำตกแสงจันทร์



ความพิเศษของน้ำตกแสงจันทร์คือธารน้ำที่โปรยละอองผ่านช่องหินเป็นสายน้ำสีขาวนวล ยิ่งในคืนวันเพ็ญยามแสงจันทร์สาดกระทบสายน้ำตกจะดูเป็นประกายสีนวลสวยงามจับตา และเมื่อสายน้ำกระทบสู่พื้นล่างด้วยแล้ว น้ำยังกระจายตัวเป็นรูปหัวใจดูน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก                           



    
               

สวนสมเด็จพระศนครินทร์


สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์

                                                                       
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์

ตั้งอยู่ติดกับหนองหานบริเวณตำบลธาตุเชิงชุม ในตัวเมือง มีเนื้อที่ประมาณ 120 ไร่ ได้รับอนุมัติให้จัดสร้างขึ้นเป็นแห่งที่ 10 ของประเทศไทย สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เสด็จเป็นองค์ประธานพิธีเปิดสวนฯ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2530 มีลักษณะเป็นสวนล้อมสระน้ำขนาดใหญ่ ชื่อสระพังทอง เป็นสระโบราณ เชื่อกันว่าสร้างมาพร้อมกับการสร้างพระธาตุเชิงชุม ภายในบริเวณสวนประกอบด้วยสวนไม้ดอกไม้ประดับ สวนป่า สวนน้ำ สวนหิน สวนออกกำลังกาย และน้ำพุที่สูงราว 69 เมตร ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษาหาความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ได้อีกด้วย สวนแห่งนี้เปิดตั้งแต่เวลา 04.00 - 21.00 น.
นอกจากนั้นยังมีสวนเทิดพระเกียรติ 60 พรรษา มหาราชินี สร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 60 เมื่อ พ.ศ. 2536 เป็นสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นที่ ประมาณ 80 ไร่ อยู่ที่บ้านหนองบัวใหญ่ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 22 เส้นทางสายสกลนคร - บ้านธาตุ แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตร จะถึงบริเวณสวนซึ่งครอบคลุมพื้นที่ดอนขาม ดอนลังกา ภายในบริเวณประกอบด้วยสวนพฤกษชาตินานาพันธุ์ ศาลาพักร้อน น้ำพุ จุดชมวิว ที่อาศัยของนกนานาชนิด และยังเป็นสถานที่พักผ่อนของชาวสกลนครซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน



วัดพระธาตุขามแก่น

  



 พระธาตุขามแก่น สร้างขึ้นประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ตั้งอยู่ในวัดเจติยภูมิ ตำบลบ้านขาม ตามประวัติโดยย่อกล่าวว่า โมริ          ยกษัตริย์ เจ้าเมืองโมรีย์ซึ่งเป็นเมืองอยู่ใน อาณาเขตของประเทศกัมพูชา มีความประสงค์ที่จะนำพระอังคารของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ไว้เมื่อครั้งพระ พุทธเจ้าปรินิพพานใหม่ๆ มาบรรจุ ณ พระธาตุพนม จึงโปรดให้พระอรหันต์และพระเถระเจ้าคณะรวม 9 องค์นำขบวนอัญเชิญพระอังคารมาในครั้งนี้ เมื่อผ่านมาถึงดอนมะขามแห่งหนึ่ง ซึ่งมีต้นมะขามใหญ่ที่ตายแล้วเหลือแต่แก่น เนื่องจากเป็นเวลาพลบค่ำแล้วและบริเวณนี้ภูมิประเทศราบเรียบดีจึงหยุดคณะพัก ชั่วคราว รุ่งเช้าจึงเดินทางต่อไปถึงภูกำพร้าปรากฏว่าพระธาตุพนมได้สร้างเสร็จแล้ว จึงเดินทางกลับและตั้งใจว่าจะนำพระอังคารธาตุกลับไปประดิษฐานไว้ที่บ้าน เมืองของตน แต่เมื่อเดินทางผ่านดอนมะขามอีกครั้งปรากฏว่าแก่นมะขามที่ตายแล้วนั้นกลับ ยืนต้นแตกกิ่งก้านผลิใบเขียวชอุ่มเป็นที่น่าอัศจรรย์ คณะอัญเชิญพระอังคารธาตุจึงพร้อมใจกันสร้างเจดีย์ครอบต้นมะขามนี้พร้อมกับนำ พระอังคารธาตุและพระพุทธรูปบรรจุไว้ในองค์พระธาตุและให้นามว่าพระธาตุขาม แก่นมาจนทุกวันนี้ พระธาตุขามแก่นถือว่าเป็นโบราณสถานที่สำคัญของจังหวัดขอนแก่น ทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 จะมีงานฉลองและนมัสการพระธาตุเป็นประจำ บริเวณด้านข้างก็จะมีโบสถ์สมัยโบราณซึ่งมีสถาปัตยกรรมของการแกะสลักไม้ตรง บริเวณหน้าจั่วที่สวยงาม พร้อมชมภาพวาดแปลกตาที่มีทหารยืนเฝ้าด้านหน้าประตูโบสถ์